IM สื่ออุตสาหกรรม เป็นสื่อสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม มุ่งเน้นนำเสนอข่าวสารด้านบวก ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ธุรกิจ ด้วยเจตนารมณ์ที่ต้องการสร้างพื้นที่ให้กลุ่ม SMEs ได้มีที่ยืน ได้มีโอกาสได้ใช้ช่องทางเคียงคู่ไปกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยได้เติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างยั่งยืน
บริษัท สื่ออุตสาหกรรม จำกัด | 02 11 585 22 | an6n@yahoo.com
นายเอกชัย ชัยตระกูลทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสทีซี คอนกรีตโปรดัคท์ จำกัด (มหาชน) หรือ STC เปิดเผยว่า บริษัทฯได้มีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าซื้อทรัพย์สินสำหรับใช้ในการประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมเสร็จ ของ บริษัท ควอลิตี คอนกรีต 2013 จำกัด มูลค่า 9.83 ล้านบาท โดยการซื้อทรัพย์สินครั้งนี้เพื่อใช้ดำเนินธุรกิจของบริษัทให้มีสมรรถนะที่ดีและเพิ่มรายได้จากการขยายธุรกิจ และตอนนี้บริษัทอยู่ระหว่างยื่นประมูลงานใหม่ที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งงานภาครัฐและเอกชน ส่งผลให้บริษัทมั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ขณะที่ครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้ 227.75 ล้านบาท หรือเติบโต 16.07% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 422 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทฯมีงานในมือ (Backlog) มูลค่าประมาณ 285 ล้านบาท และจะรับรู้รายได้ทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ อีกทั้งอยู่ระหว่างเตรียมเซ็นสัญญาเพิ่ม มูลค่า 452 ล้านบาท ทั้งในงานภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ระยะเวลา 1-2 ปี
พร้อมกับเดินหน้ายื่นเสนอราคางานโครงการต่างๆเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะงานของระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ยังมีแผนการลงทุนขนาดใหญ่จำนวนมาก ดังนั้น STC จึงมีแผนจะขยายโรงงานเพิ่มกำลังการผลิตคอนกรีตในไลน์ผลิตเดิมอีก 20% โดยตั้งงบลงทุนไว้ 100-120 ล้านบาท
โดยบริษัทฯกำลังจะขยายกำลังผลิตเพิ่มในส่วนของท่อระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็กและบ่อพักน้ำขนาดใหญ่ที่โรงงานนาวัง ซึ่งได้เริ่มดำเนินการผลิตบางส่วนแล้ว และได้มีการลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังผลิตของท่อระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็กและบ่อพักน้ำอีก 9,600 คิวคอนกรีตต่อปี แม้ผลงานไตรมาส 3 ในปีนี้ทรงตัว เพราะงานภาครัฐชะลอ แต่คาดการลงทุนของรัฐจะเกิดขึ้นปลายไตรมาส 3 ถึงต้นไตรมาส 4 ทำให้ STC คาดการจัดซื้อ จัดจ้างวัสดุเกี่ยวกับงานก่อสร้างจะกลับมาเติบโตและเห็นภาพชัดเจนในไตรมาส 4 นี้
ผลิตภัณฑ์ "L-Wall" รุ่น LW 2.40x2.00x2.80 m. เมื่อเทียบกับความสูงของชายไทยระดับมาตรฐาน
ทั้งนี้ STC พยายามสร้างโปรดักส์ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้งานของลูกค้าในทุกกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทได้ออกผลิตภัณฑ์ "L-Wall" ซึ่งเป็นกำแพงกันดินสำเร็จรูปพร้อมฐานแผ่ และกันดินไหล สามารถใช้เป็นรั้วสำเร็จได้ มีคุณสมบัติเด่นที่พร้อมใช้งานติดตั้งง่าย แข็งแรง ติดตั้งได้รวดเร็ว สามารถเคลื่อนย้ายไปใช้งานที่อี่นได้ สามารถติดตั้งง่ายมากๆ โดยมีขั้นตอนการติดตั้งเพียง 1.ขุด 2.เทลีน / ปรับระดับพื้น 3.แล้ววางกำแพง ก็ใช้งานได้เลย ไม่ต้องเข้าแบบเทในที่ ซึ่งเสียทั้งเวลาและค่าแรง เคลื่อนย้านก็ไม่ได้ อีกทั้งหน้างานไม่สะอาด ผลิตภัณฑ์ "L-Wall" ถูกกว่า ดีกว่า รวดเร็วกว่า ขนาดความกว้างมาตรฐานเท่ากัน และมีความสูงให้เลือกหลากหลายตั้งแต่ 1.00-2.80 ม. หรือสามารถสั่งผลิตตามแบบที่ต้องการก็ได้ ท่านใดสนใจสามารถติดต่อฝ่ายขายได้ที่ โทร. 038 423115-6, 081 7238759, 062 5960001
“แม้ว่าสถานการณ์การก่อสร้างในภาคตะวันออก จะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการลงทุนโครงการต่างๆ แต่ยังคงมีการพัฒนาพื้นที่ต่างๆ เพิ่ม ส่งผลให้ราคาที่ดินขยับสูงต่อเนื่องผลจากการลงทุนดังกล่าวและนั่นถือเป็นปัจจัยที่ดีที่จะหนุนผลประกอบการของบริษัทให้เติบโตต่อเนื่อง” นายเอกชัย กล่าว
ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างในเขตพื้นที่โซนตะวันออก โดยเฉพาะเมืองพัทยาจังหวัดชลบุรี ไม่เคยหลับใหล หลักๆ เป็นการลงทุนภาคเอกชน สะท้อนผ่านสัดส่วนรายได้เอกชนสูงถึงระดับ 70% และภาครัฐ 30% ทว่า นับตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบัน อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างในเมืองพัทยาได้รับอานิสงค์จากการลงทุนครั้งใหญ่ของไทย ผ่านโครงการ EEC ส่งผลให้พื้นที่ใน 3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และ ระยอง มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ผลิตภัณฑ์หลักของ STC มี 3 ประเภท คือ
-
ผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 70% ซึ่งบริษัทผลิตและจำหน่ายคอนกรีตสำเร็จรูปสำหรับงานก่อสร้างอาคารแนวราบและแนวสูง รวมถึงงานโครงสร้างและงานฐานรากต่างๆ (Foundation and Structure) งานปรับปรุงพื้นที่และภูมิทัศน์ (Landscape Construction) เช่น งานกำแพงกั้นดินและงานรั้ว เป็นต้น และโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ต่างๆ เช่น ระบบระบายน้ำ เป็นต้น
-
ผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมเสร็จ (Ready-Mixed Concrete) คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 30% ซึ่งบริษัทผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมเสร็จตามคำสั่งของลูกค้า ซึ่งแต่ละสูตรการผลิตคอนกรีตผสมเสร็จแตกต่างกันตามการใช้งาน บริษัทจึงต้องศึกษาและพัฒนาปรับเปลี่ยนสูตรการผลิตเพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมเสร็จเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอายุใช้งานจำกัด ทำให้การบริการขนส่งคอนกรีตผสมเสร็จด้วยรถคอนกรีตมิกซ์เซอร์จะทำได้แค่รัศมีไม่เกิดระยะเวลา 2 ชั่งโมง หรือราว 20 ถึง 25 กิโลเมตร
-
การให้บริการที่เกี่ยวข้อง (Related Service) โดยบริษัทยังมีการให้บริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ให้บริการตอกเสาเข็ม บริการบั๊มคอนกรีตขึ้นที่สูง หรือบริเวณที่รถคอนกรีตมิกซ์เซอร์เข้าไม่ถึง เป็นต้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร (One Stop Shop)
ที่ผ่านมาบริษัทมีการเติบโตทั้งด้านรายได้และกำไรที่โดนเด่น ตามนโยบายการลงทุนในโครงการ EEC เริ่มชัดเจนมากขึ้น ซึ่งบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง ขณะที่ STC ขยายกำลังการผลิต เพื่อรองรับดีมานด์จากงานของภาครัฐบาลและเอกชน เพื่อสอดรับกับนโยบาย EEC ไว้เรียบร้อยแล้ว สอดคล้องกับเงินระดมทุนหลังจากนำไปชำระคืนหนี้เงินกู้สถาบันการเงินแล้ว ที่เหลือบริษัทจะนำมาเป็นเงินหมุนเวียนเพื่อเพิ่มศักยภาพธุรกิจให้แข็งแกร่งขึ้น พร้อมรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมงานก่อสร้าง งานระบบระบายน้ำ งานนิคมอุตสาหกรรม และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง จังหวัดชลบุรี และจังหวัดใกล้เคียงในเขตภาคตะวันออกที่กำลังขยายตัว
ปัจจุบันบริษัทมีโรงงาน 4 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองพัทยา ทำให้บริษัทได้เปรียบทางธุรกิจในเรื่องของระยะทางขนส่ง และต้นทุนการแข่งขันที่สามารถบริหารจัดการได้ดีกว่าคู่แข่งมาก ประกอบกับ 'STC' ได้รับการยอมรับและความน่าเชื่อถือจากลูกค้ามานานกว่า 30 ปี จึงสนับสนุนให้ STC มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา และด้วยการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในการผลิตท่อระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็กและบ่อพักขนาดใหญ่ ซึ่งหาคู่แข่งได้น้อยราย ทำให้สามารถสร้างกำไรที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับอดีต
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนลงทุนในระยะ 3 เพื่อขยายกำลังการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการผลิตภัณฑ์คอนกรีตที่คาดว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคต คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 120 ล้านบาท เพื่อซื้ออุปกรณ์และเครื่องจักร โดยจะมีกำลังการผลิตประมาณ 400 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน คาดว่าจะเริ่มลงทุนในปี 2564 คาดว่าเงินลงทุนจะมาจากเงินทุนหมุนเวียนของกิจการในอนาคต โดยโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐที่เกิดขึ้นเพื่อรองรับโครงการ EEC เช่น โครงการปรับปรุงทางหลวงและโครงข่ายถนนสายรองในพื้นที่รอบๆ อู่ตะเภา, มาบตาพุด และถนนเลียบชายฝั่งทะเลระยอง-ชลบุรี เพื่อเป็นการเชื่อมต่อการเดินทางเพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจ EEC