IM สื่ออุตสาหกรรม เป็นสื่อสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม มุ่งเน้นนำเสนอข่าวสารด้านบวก ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ธุรกิจ ด้วยเจตนารมณ์ที่ต้องการสร้างพื้นที่ให้กลุ่ม SMEs ได้มีที่ยืน ได้มีโอกาสได้ใช้ช่องทางเคียงคู่ไปกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยได้เติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างยั่งยืน
บริษัท สื่ออุตสาหกรรม จำกัด | 02 11 585 22 | an6n@yahoo.com
นายเพชร นันทวิสัย ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนลงทุนขยายฟาร์มสุกรในปี 2564 นี้ โดยวางเป้าเติบโต 30% จากปัจจุบันที่มีการจำหน่ายสุกรอยู่ที่ 100,000 ตัว/เดือน รวมถึงลงทุนโรงชำแหละสุกร และโรงงานอาหารสัตว์ เพื่อรองรับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยวางงบลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท คาดรายได้ปีนี้จะเติบโตได้ราว 15% จากปีก่อน ซึ่งยังคงมาจากธุรกิจไก่ โดยเฉพาะไก่ปรุงสุกที่มีการเติบโตอย่างมากในส่วนของลูกค่าเก่า
โดยบริษัทมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตในปีนี้เป็น 15,000 ตัน/ปี จากสิ้นปี 63 อยู่ที่ 9,000-10,000 ตัน/ปี ของกำลังการผลิตที่สามารถรองรับได้ทั้งหมด 20,000 ตัน/ปี เพื่อรองรับการเติบโตที่เพิ่มเป็นเท่าตัว อีกทั้งยังมาจากการส่งออกไก่ ที่ปีนี้มีแผนเปิดตลาดใหม่ๆ มากขึ้น เช่น เกาหลี เป็นต้น ทำให้ในภาพรวมของธุรกิจไก่ก็น่าจะเติบโตได้ 5%
โดยได้ลงทุนโรงงานผลิตไก่ปรุงสุกไปตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ซึ่งปีก่อนหน้านี้ 5,000 ตัน/ปี ปีที่แล้ว 10,000 ตัน/ปี และปีนี้ก็คิดว่าจะได้อีกราว 15,000 ตัน/ปี
เนื่องจากมีการเติบโตในลูกค้าเดิม โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่ที่เป็นลูกค้า Exclusive และเติบโตได้ดีในส่วนที่เป็นคอนวีเนียนสโตร์ ซึ่งธุรกิจสุกรทั้งในประเทศไทยและเวียดนามเอง ตอนนี้ถือว่าเป็น Growth Driver ที่สำคัญในปีนี้ โดยบริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้เติบโต 20-25% จากในประเทศโต 15% และเวียดนามเติบโตเป็นเท่าตัว เนื่องจากซัปพลายสุกรยังขาดแคลนทั้งในภูมิภาค เช่น จีน เวียดนาม หรือใน CLMV รวมถึงฟิลิปปินส์ สืบเนื่องจากปัญหาโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African swine fever : ASF)
อย่างไรก็ตาม สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้ว บริษัทยืนยันว่าไม่ได้กระทบกับภาพรวมธุรกิจมากนัก แม้ยอดขายใน Food Service จะปรับตัวลงไป 40-50% ในช่วงล็อกดาวน์ แต่ TFG ก็สามารถปรับเปลี่ยนแผนหันไปจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรดเพิ่มขึ้นแทน ซึ่งธุรกิจอาหารสัตว์และอื่นๆ โดยปกติจะเติบโตในระดับ 10% แม้สถานการณ์โควิด-19 จะกระทบกับผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยให้ปรับตัวลดลง จากความกังวลต่อการระบาดที่รวดเร็ว รวมถึงหาสายพันธุ์สุกรไม่ได้ เนื่องจากราคาแม่พันธุ์และลูกสุกรค่อนข้างแพงมาก แต่อาหารสัตว์โดยรวมยังโตได้จากการเพิ่ม SKU ใหม่ในสัตว์สายพันธุ์ใหม่ที่ยังไม่เคยทำ เช่น อาหารวัว เป็ด แม่ไก่ไข่ เป็นต้น
สำหรับโครงการร่วมลงทุนใน บริษัท ทีเอฟ เทค จำกัด (TF Tech) ระหว่าง TFG และ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) เพื่อก่อสร้างและติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำ (Floating Solar) ในพื้นที่ของ TFG และบริษัทในเครือ เฟสแรกในโรงงาน 4 แห่ง ประกอบด้วย โรงชำแหละไก่กาญจนบุรี โรงชำแหละไก่ กบินทร์บุรี โรงอาหารสัตว์ สุพรรณบุรี และโรงอาหารสัตว์ กบินทร์บุรี ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า 13.78 เมกะวัตต์ ได้เริ่มจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ไปเรียบร้อยแล้ว
ในปี 2564นี้ ก็จะมีการลงทุนต่อเนื่องในเฟสที่ 2 โดยเตรียมขยายไปสู่ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) บนหลังคาที่จอดรถและโรงงาน TFG จ.กาญจนบุรี คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าในปี 65 ลงเหลือ 50-60 ล้านบาท/ปี จากปัจจุบันที่ได้ดำเนินการในเฟสแรกไปแล้วสามารถประหยัดได้ 15-20 ล้านบาท/ปี โดยทั้งหมดนี้จะใช้งบลงทุนรวม 300-500 ล้านบาท ซึ่ง TF Tech จัดตั้งขึ้นเพื่อประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน มีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท โดยสัดส่วนการถือครองหุ้น ประกอบด้วย TFG 40% EA 40% และบุคคลธรรมดา 20%
โดยรายได้ที่เติบโตขึ้นส่วนหนึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากรายได้ธุรกิจสุกร และธุรกิจอาหารสัตว์ เพิ่มขึ้น หลังบริษัทฯ ขยายการลงทุน และขยายตลาดใหม่เพื่อรองรับความต้องการลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 10-15% สร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง โดยในส่วนของธุรกิจสุกรจะขยายตัวจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น และราคาที่อยู่ในระดับที่ดี อีกทั้งราคาขายในเวียดนามยังคงยืนในระดับสูงเช่นกัน รวมทั้งการขยายฟาร์มระดับพ่อแม่พันธุ์สุกรทั้งในประเทศ และประเทศเวียดนาม เริ่มดำเนินไปแล้วบางส่วน
“แม้จะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ แต่เรายังมั่นใจว่าแนวโน้มธุรกิจในปี 2564 นี้ยังคงสามารถเติบโตได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ โดยตัวแปรหลักมาจากธุรกิจสุกรที่จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากความต้องการของตลาด และปริมาณการผลิตในไทยที่มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตประมาณ 20% รวมถึงธุรกิจอาหารสัตว์ที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง”
ขณะที่ในประเทศเวียดนามบริษัทฯ มีแผนเพิ่มกำลังการผลิตสุกรขึ้นอีกเท่าตัว เทียบปีที่ผ่านมา โดยในปีนี้จะสร้างฟาร์มพ่อแม่พันธุ์สุกร เพิ่มเติม รวมถึงขยายโรงงานอาหารสัตว์ในประเทศไทย และเวียดนามคิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนในปีนี้ราว 3,000-3,500 ล้านบาท โดย 80% เป็นการขยายการลงทุนในประเทศไทย และส่วนที่เหลือ 20% ลงทุนในเวียดนาม
นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยบวกจากการได้รับใบอนุญาตให้ส่งออกไปที่สหภาพยุโรป (EU) เพิ่มเติมสำหรับสินค้าปรุงสุก ขณะเดียวกันบริษัทฯ เริ่มมีการขยายธุรกิจร้านสะดวกซื้อสำหรับเนื้อสดในรูปแบบตลาดสดภายใต้ชื่อร้าน Thai foods fresh market หรือตลาดสดไทยฟู้ดส์ โดยปัจจุบันมี 5 สาขา ตั้งเป้าเพิ่มอีก 50 สาขา ในปี 2564 ถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่เนื้อสัตว์ ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมดีขึ้น ผลักดันรายได้กำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
โดยล่าสุดบริษัทฯได้รับการจัดอันดับจากสถาบันไทยพัฒน์ให้เป็น 1 ใน 100 หลักทรัพย์จดทะเบียนที่โดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG100) ประจำปี 2564 ถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของบริษัทฯที่สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงการเติบโตของธุรกิจควบคู่ไปกับสังคม การให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล จากการที่บริษัทฯได้รับคัดเลือกให้อยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 เชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับนักลงทุนสถาบันและกองทุนชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ เพิ่มน้ำหนักลงทุนในหลักทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว
ทั้งนี้การประเมิน ESG100 ในปี พ.ศ.2564 ครอบคลุม 824 หลักทรัพย์ (ไม่รวมหลักทรัพย์ที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟู) รวมทั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน โดยอ้างอิงจากเอกสารรายงานที่บริษัทเผยแพร่ไว้ต่อสาธารณะในแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1) รวมทั้งในรายงานประจำปี รายงานแห่งความยั่งยืน และข้อมูลผลการดำเนินงานที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาความยั่งยืนของหน่วยงานที่ออกหลักทรัพย์/กองทุน จากแหล่งข้อมูล 6 แหล่ง รวมจำนวนกว่า 15,260 จุดข้อมูล