IM สื่ออุตสาหกรรม เป็นสื่อสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม มุ่งเน้นนำเสนอข่าวสารด้านบวก ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ธุรกิจ ด้วยเจตนารมณ์ที่ต้องการสร้างพื้นที่ให้กลุ่ม SMEs ได้มีที่ยืน ได้มีโอกาสได้ใช้ช่องทางเคียงคู่ไปกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยได้เติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างยั่งยืน
บริษัท สื่ออุตสาหกรรม จำกัด | 02 11 585 22 | an6n@yahoo.com
นายธีระศักดิ์ วิกิตเศรษฐ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ S & J เปิดเผยว่า การวิเคราะห์ปัญหาและประเด็นที่สำคัญทางธุรกิจว่า S & J มีโอกาสเข้าไปเรียนรู้กับตลาดหลักทัพย์แห่งประเทศไทย เกี่ยวกับการพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืน ทำให้บริษัทใช้เครื่องมือ Materiality Assessment มาช่วยให้สามารถมองเห็นปัจจัยที่อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนอุปสรรคหรือความเสี่ยงที่อาจส่งผลต่อการเติบโตของบริษัท ประเด็นแรกที่มองเห็นเรื่องแรกคือ หากบริษัทจะยั่งยืนได้ ฐานะทางการเงินต้องมั่นคง เพราะ S & J มีลูกค้าต่างประเทศกว่า 50% ของยอดขายทั้งหมด ดังนั้นความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนจึงมีผลสำคัญต่อการเงินและความมั่นคงของบริษัทมาก จึงต้องมีกลยุทธ์ในการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยบริษัทได้จัดตั้งหน่วยงานบริหารอัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการเงินที่อาจจะเกิดขึ้นและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับบริษัท นอกจากนี้ S & J ยังต้องดูด้วยว่ารายได้ของบริษัทกระจุกตัวอยู่ที่ลูกค้าบางรายหรือพื้นที่บางจุดหรือไม่ ซึ่งกลายมาเป็นกลยุทธ์การกระจายพอร์ตลูกค้า การหาช่องทางการขายใหม่ๆ การเปิดพื้นที่การขายใหม่ๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการพึ่งพาลูกค้ารายใดรายหนึ่งจนเกินไป
ซึ่งบริษัทฯเป็นผู้ผลิตและส่งมอบผลิตภัณฑ์เพื่อความงามด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย ถือได้ว่าเป็นต้นแบบธุรกิจที่ประสบความสําเร็จในการพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน
ประเด็นที่สองบริษัทต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภคว่าอยากได้อะไร บริษัทจึงมีทีมงานคอยวิเคราะห์ลูกค้า และพบว่ากลุ่มลูกค้าสนใจและต้องการนวัตกรรมด้านเครื่องสำอางและความงามอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น S & J จึงมีหน่วยงานพัฒนาสินค้าที่ศึกษาวิจัยเทรนด์ของผู้บริโภค เพื่อให้ทราบว่าตอนนี้ผู้บริโภคชอบหรือไม่ชอบอะไร โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนพัฒนานวัตกรรมอย่างสม่ำเสมอและมากพอที่จะทำให้มีสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ มานำเสนอลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
สินค้านวัตกรรมของ S & J สามารถเพิ่มยอดขายให้บริษัทได้ 25-30 % ต่อปี อีกทั้งนวัตกรรมที่สร้างขึ้นก็ยังสามารถตอบโจทย์ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม อาทิ น้ำมันปาล์มที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ต้องไม่ได้มาจากสวนปาล์มที่รุกล้ำพื้นที่ป่า หากเป็นพื้นที่ป่า S & J ก็จะไม่รับซื้อเด็ดขาด นอกจากนี้ เรื่องความต้องถูกต้องและปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ว่าสารชนิดใดที่ใช้ได้ สารชนิดใดที่ห้ามใช้ในเครื่องสำอาง บริษัทก็ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของแต่ละประเทศอย่างถูกต้องครบถ้วน เพราะหากตรวจพบสารต้องห้ามก็จะขายสินค้าเหล่านั้นไม่ได้เลย ที่สำคัญคือความน่าเชื่อถือของผู้บริโภคต่อแบรนด์สินค้าก็จะเสียหายไปด้วย ในด้านกระบวนการผลิต S & J คำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การลดใช้พลังงานไฟฟ้า การบำบัดน้ำเสียและนำกลับมาใช้ใหม่ ทำให้บริษัทสามารถใช้ลดพลังงานในการผลิตลงได้ 50%
โดยการพัฒนาธุรกิจสู่ความยั่งยืนมีประโยชน์หลากหลายประการกับ S & J ทำให้ลูกค้าและผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในบริษัทด้วยนวัตกรรมที่สร้างขึ้น เพราะบริษัทให้ความสำคัญกับการตอบโจทย์ของลูกค้า และยังดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนไปพร้อมกัน เรียกได้ว่าเป็นการพึ่งพาซึ่งกันและกันอย่างสมดุลและรับผิดชอบ ซึ่งบริษัทฯเป็นผู้ผลิตและส่งมอบผลิตภัณฑ์เพื่อความงามด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย ถือได้ว่าเป็นต้นแบบธุรกิจที่ประสบความสําเร็จในการพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน มีการวิเคราะห์ประเด็นสำคัญทางธุรกิจ เพื่อนำมาสู่การสร้างนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ลูกค้าและมีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค โดย มีลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจที่สำคัญอยู่ทั่วโลกทั้งในยุโรปและเอเชีย ให้บริการแบบ One-stop Service ที่ช่วยจัดการทุกความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถปรับแต่งความสินค้าให้รองรับทั้งแบรนด์และธุรกิจค้าปลีก โดยดูแลทุกกระบวนการตั้งแต่การค้นหาผลิตภัณฑ์ การผลิต ไปจนถึงการทำการตลาดและการขนส่ง
ด้วยโอกาสและความท้าทายในปัจจุบัน ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค ที่ต้องการความแปลกใหม่และทันสมัยอยู่ ตลอดเวลา ดังนั้น จึงทําให้ Product Life Cycle ของสินค้าสั้นกว่าสมัยก่อน อีกทั้งผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข่าวสารได้ง่าย ผ่านสื่อ Social Media ต่างๆ รวมไปถึง Real Influencer ผู้บริโภคมีส่วนร่วมในการออกแบบ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ จึงทําให้ ผู้ประกอบการต่างๆ ต้องเกาะติดสถาณการณ์ และเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ทําให้บริษัทต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีคิด และกระบวนการทํางานใหม่ในการทํางานทางด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่พร้อมขายและยังคงอยู่ในกระแส รวมถึงการปรับ กระบวนการทํางานให้กระชับและสั้นลง เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดในยุคดิจิทัล
นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังหันมาให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากธรรมชาติซึ่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทใหม่ ๆ ที่ใช้สมุนไพรตามธรรมชาติเป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์เครื่องสําอางค์มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็วมากขึ้น บริษัทฯ ใช้กลยุทธ์การตลาด โดยเน้นคุณภาพของสินค้าที่มาตรฐานสูง รวมถึงมีการออกแบบบรรจุภัณฑ์ของสินค้าให้มี ความสวยงาม ทันสมัย สะดวกต่อการใช้งาน อีกทั้งมีการวิจัยและพัฒนาสินค้าเพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการ ของลูกค้าดังกล่าว และขยายฐานสู่ลูกค้าใหม่ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและเพิ่มศักยภาพการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งการตั้งราคาจะคํานึงถึงภาพลักษณ์ของสินค้า ต้นทุนการผลิต และต้นทุนการตลาดเป็นพื้นฐาน เน้นความเหมาะสมของคุณภาพกับราคาที่ดึงดูดความสนใจของลูกค้า โดยคํานึงถึงความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า
บริษัทฯ ยังคงใช้การวางแผนทางด้านสูตรของผลิตภัณฑ์ โดยจะมีการปรับสูตรที่มีคุณภาพและใช้วัตถุดิบที่ไม่เฉพาะเจาะจง สําหรับแต่ละสูตรให้มากเกินความจําเป็น เพื่อให้บริษัทไม่ต้องจัดซื้อวัตถุดิบที่หลากหลาย แต่เป็นการสั่งซื้อวัตถุดิบน้อยรายการโดยได้ ราคาที่ตํ่า เพื่อให้ต้นทุนการผลิตสามารถแข่งขันได้ในตลาด ปริมาณการสั่งซื้อจากกลุ่มลูกค้าในแถบเอเชียเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทสามารถบริหารจัดการการสั่งซื้อได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับทิศทางการตลาด บริษัทฯวางการตลาดไว้ 3 ช่องทางคือ ตลาดภายในประเทศ บริษัทวางช่องทางจัดจําหน่ายให้ครอบคลุมทั้งประเทศเช่น โรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน สถานพยาบาล คลีนิค และร้านยา โดยเน้นกลยุทธ์การแข่งขันด้วยขบวนการผลิตที่มีคุณภาพ การค้นคว้าและพัฒนาสูตรใหม่ๆ และการบริการที่ดี ด้วยราคายุติธรรมเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาได้และบริษัทยังเป็นผู้นําในตลาดในยารักษาโรคหลอด เลือดหัวใจต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ตลาดต่างประเทศ บริษัทได้มีการจําหน่ายในต่างประเทศ เช่น พม่า ลาว เขมร และมีแผนที่จะขยายตลาดใน ต่างประเทศเพิ่มขึ้น