IM สื่ออุตสาหกรรม เป็นสื่อสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม มุ่งเน้นนำเสนอข่าวสารด้านบวก ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ธุรกิจ ด้วยเจตนารมณ์ที่ต้องการสร้างพื้นที่ให้กลุ่ม SMEs ได้มีที่ยืน ได้มีโอกาสได้ใช้ช่องทางเคียงคู่ไปกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยได้เติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างยั่งยืน
บริษัท สื่ออุตสาหกรรม จำกัด | 02 11 585 22 | an6n@yahoo.com
นพ.เชิดศักดิ์ อัมพรสุขสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสงฟ้าก่อสร้าง จำกัด เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจในรอบปีที่ผ่านมาค่อนข้างกดดันจากปัจจัยหลายอย่าง ทั้งจากแผนงานโครงการของภาครัฐและเอกชนที่ชะลอโครงการ และปัจจัยแวดล้อมด้านต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลยังรายได้และกำไร โดยบริษัทฯได้พยายามปรับตัวด้วยการรับงานโครงการบิวดิ้งสำนักงาน ทำให้สามารถนำพาธุรกิจผ่านช่วงวิกฤติในปีที่ผ่านมาได้ ซี่งในตอนนี้ถือว่าโอกาสของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายๆเจ้าเริ่มทยอยเปิดตัวโครงการใหม่ๆ โดยเฉพาะโครงการแนวดิ่งอย่างคอนโดมิเนียม อาทิ โนเบิล ออริจิ้นฯ เอพีฯ และลูกค้าหลักคือ เสนาฯ ที่กำลังมีแผนพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทฯมีมูลค่างานโครงการในมือ (Backlog) อยู่ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท คาดทั้งปีนี้จะสามารถรับรู้รายได้ราว 6 พันล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ส่วนธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ถือว่ามีทั้งความยากและความยาก แต่ความท้าทายต่างๆ ทำให้สุดท้าย อาจเหลือแค่ 'ผู้เล่นตัวจริง' ที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น คาดคงต้องใช้เวลาราว 2-3 ปี ธุรกิจรวมจะกลับมาตั้งหลักได้อีกครั้ง
นับเป็นโอกาสทองของบริษัทฯในการสร้างผลรายได้ของปีนี้ แม้ในภาพรวมราคาวัสดุก่อสร้างที่เคยเร่งตัวสูงมาก โดยสิ่งหนึ่งที่ผู้รับเหมาฯกังวลมากที่สุด คือ การที่ราคาเหล็ก อาจจะกลับมาสูงระดับ 50 บาทต่อกิโลกรัมอีกครั้ง หลังจากขณะนี้ย่อตัว ราคาซื้อ-ขาย กลับมาปกติที่ 25 บาทต่อกิโลกรัม อีกทั้ง ยังต้องจับตา ความเคลื่อนไหวของดีมานด์ความต้องการเหล็กในประเทศจีน ที่เมื่อไหร่ จีนกลับเปิดเมืองเต็มที่ เพิ่มปริมาณการก่อสร้างโครงการต่างๆ ก็อาจทำให้ราคาเหล็กกลับมามีราคาสูงอีกครั้ง โดยบริษัทฯใช้กลยุทธ์การประเมินราคาบวกลบความเสี่ยงเพิ่มเข้าไปเล็กน้อยในแต่ละโครงการ แต่ไม่สามารถตั้งราคาสูงได้ เพราะขณะนี้มีหลายตัวแปรที่เป็นผู้กุมตลาด และราคาเฉลี่ยการก่อสร้างโครงการมีความผันผวน แล้วแต่การออกแบบและดีไซน์ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มธุรกิจดีเวลลอปเปอร์กลับมาให้ความสำคัญกับเรื่องรายละเอียดดีไซน์สูงขึ้น เพื่อรองรับการอยู่อาศัยแบบ New Normal ขณะเดียวกัน ก็พบว่า มีการตัดทอนรายละเอียดที่ไม่จำเป็นบางส่วนภายในโครงการและห้องพัก เพื่อควบคุมต้นทุนอีกด้วย
“ในปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นความท้าท้ายของธุรกิจอสังหาฯ ที่มีความเสี่ยงและเปราะบาง โดยบางรายมีปัญหา เรื่องกระแสเงินสด (Cash Flow) กระทบต่อรายรับของธุรกิจรับเหมาฯ โดยเฉพาะบริษัทที่จดทะเบียนนอกตลาดหลักทรัพย์ และขยายงานเกินตัว ในจังหวะที่กำลังซื้อผ่อน ซึ่งบริษัทจะเน้นการเข้าไปพูดคุย และหาทางออกร่วมกันกับคู่ค้าและพันธมิตร เพื่อให้สามารถผ่านพ้นวิกฤติไปด้วยกันได้”
ทั้งนี้ส่วนธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ถือว่ามีทั้งความยากและความยาก แต่ความท้าทายต่างๆ ทำให้สุดท้าย อาจเหลือแค่ 'ผู้เล่นตัวจริง' ที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น คาดคงต้องใช้เวลาราว 2-3 ปี ธุรกิจรวมจะกลับมาตั้งหลักได้อีกครั้ง ในความท้าทายเช่นนั้น สิ่งที่ผู้ประกอบการควรยึดมั่นคือ 1.การสร้างงานอย่างมีคุณภาพ 2.รักษาระยะเวลา ก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามกำหนด 3.ให้ความสำคัญกับสภาพคล่องทางการเงิน เตรียมเงินสดตุนสำรองไว้ในกระเป๋า ซึ่งจะเป็นจุดแข็ง 'แม้คนอื่นล้มแต่เราไม่ล้ม' ซึ่งจุดอ่อนของรับเหมาก่อสร้างไทย แม้ทำงานดี ตรงเวลา แต่มักจะจอดจากความไม่ระมัดระวัง ในการจับมือกับดีเวลลอปเปอร์ที่มีปัญหาเหมือนกัน ทำให้กลายเป็นคนที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ สุดท้ายไม่มีเงินจ่ายค่าแรง ต้องหนีปิดบริษัท แต่นั่นไม่ใช่แสงฟ้าก่อสร้าง
ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ที่กำลังเป็นปัญหาในภาคก่อสร้างนั้น ทราบว่าทางสมาคมรับเหมาก่อสร้าง กำลังหาทางเจรจากับรัฐบาล เพื่อให้ต่างด้าวขึ้นทะเบียนแรงงานได้อีกครั้ง หรือ เปิดกระบวนการหาแรงงานให้ง่ายขึ้น เนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมา วงการได้รับผลกระทบมาก จากการปิดด่าน แรงงานกลับประเทศ และหาใหม่ทดแทนไม่ได้ โดยบริษัทฯใช้แรงงานต่างด้าวราว 70-80% ราว 3,000 คน แม้จะไม่ได้รับผลกระทบเท่ากับบริษัทอื่นๆ เนื่องจากปิดประตู วางมาตรการดูแล ด้านแรงงานอย่างรัดกุม ตั้งแต่สถานการณ์ปิดไซด์แรงงานก่อสร้างทั่วประเทศในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา
ส่วนแนวโน้มการร้องขอปรับขึ้นค่าแรงของประเทศไทย ถือเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับภาคก่อสร้าง เพราะบนสถานการณ์ที่ยังย่ำแย่นี้ นอกจากมีเรื่องต้นทุนก่อสร้าง ยังมีแนวโน้มดอกเบี้ยที่รออยู่ ทั้งนี้ ก็ยุบสภาแล้ว อยากเสนอรัฐบาลใหม่สมัยหน้าในการขึ้นค่าแรง ไม่ควรเน้นแต่เพียงตอบโจทย์ในแง่ฐานเสียงการเมืองเท่านั้น แต่ควรทำแบบขั้นบันไดโดยมีตัวเลขชัดเจนในแต่ละปลายปี และมีคำถามที่ต้องตอบ เช่น การขึ้นค่าจ้าง 10% จะมีผลต่อส่วนต่างรายได้ผู้ประกอบการอย่างไรท่ามกลางเศรษฐกิจแบบนี้ ซึ่งความยากของธุรกิจก่อสร้าง คือ การวางสัญญา ตั้งราคารับเหมาล่วงหน้า และแบกรับความเสี่ยงด้านต้นทุนเอง ยิ่งงานในมือรอสร้างเยอะ ยิ่งได้รับผลกระทบตามลำดับ
ทั้งนี้ในการดำเนินงานบริษัทฯยึดหลักการดำเนินธุรกิจ ซื่อสัตย์ มุ่งมั่น เน้นการทำงานที่รวดเร็ว ด้วยการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ พร้อมสร้างรากฐาน “ระบบอุตสาหกรรม” ด้วยการกำหนดตารางการทำงานและรายละเอียดในแต่ละส่วนอย่างชัดเจน เพื่อให้สามารถติดตามผลงานแต่ละขั้นตอน และสามารถแก้ปัญหาได้ถูกจุดในเวลาที่รวดเร็วผ่านแนวคิดการบริหาร การยึดมั่นในวิสัยทัศน์จากรุ่นพ่อสู่ ค่านิยมองค์กร 5 VALUES ใน Generation ที่ 2
นอกจากนี้สิ่งที่ต้องพัฒนาเพื่อจะนำไปสู่วิสัยทัศน์ดังกล่าว ก็คือกลยุทธ์ 3 เสาหลักในการขับเคลื่อนคือ เสาหลักที่ 1 การพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ส่งเสริมและผลักดันให้ผู้ที่มีความสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ สร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ เพื่อให้บริษัทเดินหน้าและบรรลุเป้าหมายได้ เสาหลักที่ 2 การพัฒนาด้านเทคโนโลยีในการก่อสร้าง ซึ่งไม่ได้เน้นว่าจะต้องมีเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ที่ล้ำหน้าทันสมัยที่สุด แต่สามารถเรียนรู้ว่าความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา หาขบวนการทำงานในแบบใหม่ เน้นมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลไม่แพ้การพึ่งพาเทคโนโลยี ที่ล้ำสมัย เพียงอย่างเดียว และเสาหลักที่ 3 การพัฒนาระบบการทำงานในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการ วิถีการทำงานแบบ Single Team และ การ reinforce ขบวนการทำงานแบบ Loop Construction โดยเน้นที่ 2 ขบวนการสำคัญคือ การวางแผนที่ดี และการควบคุมติดตามงานที่ดี บริษัทมุ่งหวังให้เกิด 2 ขบวนการนี้ โดยการทำซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นนิสัย และฝังอยู่จนกลายเป็น DNA ของชาวแสงฟ้าทุกคน 3 สิ่งนี้ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญ ที่จะใช้พัฒนาบริษัทให้เติบโตอย่างยั่งยืนเพื่อก้าวต่อไปในอีกศตวรรษต่อๆ ไป
โครงการ SKYRISE AVENUE SUKHUMVIT 64 งานโครงสร้าง คืบหน้ากว่า 42.32%
ทั้งนี้ โครงการ SKYRISE AVENUE SUKHUMVIT 64 โครงการก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่งในมือของแสงฟ้าก่อสร้าง ที่กำลังเร่งดำเนินการในขณะนี้ โดยบริษัทได้อัพเดตความคืบหน้าล่าสุด (PROJECT PROGRESS) เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมาดังนี้
- STRUCTURAL WORKS งานโครงสร้าง คืบหน้ากว่า 42.32%
- ARCHITECTURAL WORKS งานสถาปัตยกรรม คืบหน้ากว่า 4.05%
- MEP WORKS งานระบบ คืบหน้ากว่า 5.64%
โครงการ SKYRISE AVENUE SUKHUMVIT 64 งานสถาปัตยกรรม คืบหน้ากว่า 4.05%
โดยโครงการ SKYRISE AVENUE SUKHUMVIT 64 ตั้งอยู่ที่ ถนนสุขุมวิท ซอยสุขุมวิท 64/2 กรุงเทพมหาคร เป็นอาคารพักอาศัย จำนวน 4 อาคาร และอาคารจอดรถ 3 อาคารสูง 1 ชั้น+ใต้ดิน 2 ชั้น ซึ่งส่วนอาคารพักอาศัยสูง 48 ชั้น จำนวน 2 อาคาร และอาคารพักอาศัยสูง 46 ชั้น 1 อาคาร และคอนโดมิเนียม สูง 49 ชั้น 1 อาคาร นอกจากนี้ยังมีอาคารสำนักงาน สูง 6 ชั้น และชั้นใต้ดิน 2 ชั้น อีก 1 อาคาร
โครงการ SKYRISE AVENUE SUKHUMVIT 64 งานระบบ คืบหน้ากว่า 5.64%
โครงการนี้เริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 มูลค่าโครงการรวมกว่า 9,500 ล้านบาท จำนวนทั้งหมด 1,961 ยูนิต ตั้งอยู่บนพื้นที่ 22 ไร่ บนทำเลศักยภาพใจกลางสุขุมวิท เชื่อมต่อทุกการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ใกล้สถานี ปุณณวิถีเพียง 450 เมตร และใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนเฉลิมมหานคร พร้อมมอบความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนห้องพักเพียง 11 ยูนิตต่อชั้น ขนาดห้องเริ่มต้นที่ 1 ห้องนอน ขนาด 28 และ 35 ตารางเมตร 2 ห้องนอน ขนาด 45 และ 55 ตารางเมตร และ 3 ห้องนอน ขนาด 71 และ 99 ตารางเมตร ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่แบบจัดเต็มท่ามกลางพื้นที่สีเขียวใหญ่ถึง 9 ไร่ ซึ่งจะผสานการอยู่อาศัยให้ใกล้ชิดธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ราคาเริ่มต้น 2.4 ล้านบาท โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2567