โดยมีรัฐบาลเวียดนามรับซื้อค่าไฟแบบ FiT (Feed-in-Tariff)0.0935 ดอลลาร์ต่อกิโลวัตต์ เป็นระยะเวลาถึง 20 ปี

บริษัทมั่นใจว่าโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนามเป็นโครงการที่ดี ซึ่งการลงเสาเข็มก่อสร้างของโครงการถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ แสดงถึงก้าวแรกในการขยายธุรกิจในประเทศเวียดนาม ซึ่งอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนกำลังเติบโตรวดเร็วมากๆ

สำหรับการดำเนินธุรกิจช่วงครึ่งปีหลังคาดว่า จะมีการ COD โครงการโซลาร์ฟาร์ม และโซลาร์รูฟท็อปเพิ่มขึ้นมาอีก 4 โครงการ โดยบางโครงการได้ COD แล้วบางส่วน เช่น 'โซเอ็น'โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์กำลังผลิต 8 เมกะวัตต์ ประเทศญี่ปุ่น และ โครงการ Do Home กำลังผลิต 3 เมกะวัตต์ โดยปัจจุบันเรามีกำลังผลิตติดตั้งรวม 85 MW ส่วนอีกสองโครงการคือ SNNP3 และ SNNP4 (โซล่ารูฟท็อป กำลังการผลิตรวม 691 กิโลวัตต์) เริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 3/61

ปัจจุบันบริษัทฯมีกำลังการผลิตติดตั้งรวมทั้งหมด 244 เมกะวัตต์ โดยมีโรงไฟฟ้าอีกกว่า 159 กว่าเมกะวัตต์ที่ยังไม่ COD โดยจะทยอย COD ครบในปี 63 รวมทั้งบริษัทยังหาโครงการใหม่ๆที่มีศักยภาพเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ปี 2561 ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่บริษัทฯได้โครงการเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยได้โครงการจากเวียดนาม, ไทย (Do Home + SNNP3 + SNNP4) รวมทั้งโครงการจากมองโกเลียที่ได้มาช่วงปลายปี 2560 รวมโปรเจกต์ที่ได้มาทั้งหมด 70 เมกะวัตต์ภายในช่วงเวลาไม่ถึงปี โดยเป็นการกระจายโครงการในหลายๆประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยง ทั้งนี้บริษัทฯมุ่งเน้นว่าทุกโครงการมีผลตอบแทน IRR ที่ดี เราหวังว่าจะหาโครงการดีๆเพิ่มขึ้นในทุกๆปี เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทอย่างยั่งยืน

อนึ่งผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/61 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 152 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% เทียบกับงวดไตรมาสแรกของปีนี้ และ 38% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้อยู่ที่ 301.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.5% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุที่ผลการดำเนินงานเติบโตมาก เนื่องจากโซลาร์ฟาร์ม Hidaka ในญี่ปุ่นกำลังการผลิต 21.4 เมกะวัตต์ ที่ COD เมื่อ 1 มีนาคม 2561 ทำผลงานได้ดี และรับรู้ได้เต็มไตรมาส