IM สื่ออุตสาหกรรม เป็นสื่อสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม มุ่งเน้นนำเสนอข่าวสารด้านบวก ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ธุรกิจ ด้วยเจตนารมณ์ที่ต้องการสร้างพื้นที่ให้กลุ่ม SMEs ได้มีที่ยืน ได้มีโอกาสได้ใช้ช่องทางเคียงคู่ไปกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยได้เติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างยั่งยืน
บริษัท สื่ออุตสาหกรรม จำกัด | 02 11 585 22 | an6n@yahoo.com
ดร.ฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCN เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจผลดำเนินงานในปี 2563 นี้ครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องด้วยราคาแก๊สปรับตัวดีขึ้นตามทิศทางของราคาน้ำมัน นอกจากนี้ ยังได้เจรจากับภาครัฐ และ ปตท. เกี่ยวกับการปรับโครงสร้างราคา NGV ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเมื่อเปรียบเทียบกับราคาน้ำมันดีเซล เบื้องต้นจะมีการปรับราคา NGV ให้อยู่ระดับ 50% ของน้ำมันดีเซล ซึ่งจะเป็นตัวกระตุ้นความต้องการใช้ NGV มากขึ้น บริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจา โครงการโซลาร์รูฟท็อป จำนวน 40 เมกะวัตต์
โดยช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะเซ็นเพิ่มอีก 8 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันมีอยู่ 12 เมกะวัตต์ ส่งผลให้สิ้นปีนี้จะมีกำลังการผลิตในส่วนโซลาร์รูฟท็อปเพิ่มอีก 20 เมกะวัตต์
รวมถึง การได้ผนึกกำลังกับ Green Earth Power (Thailand) Company Limited) (GEP) เมื่อไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ในสัดส่วนการลงทุน 40% ซึ่งถือเป็นผู้บุกเบิกด้านพลังงานในประเทศเมียนมา ถือเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดการเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้ในอนาคต นอกเหนือจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ แต่ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกธุรกิจพลังงานที่จะเกิดขึ้นได้ในเมียนมา นอกไปจากนี้ โครงการยังมีความมั่นคงสูง เนื่องจากสร้างมาจากพื้นฐานความต้องการการใช้ไฟฟ้าในประเทศอย่างแท้จริง อีกทั้งยังถือเป็นการพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืน สามารถต่อยอดการพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องด้านต่างๆ ได้อีก สร้างโอกาสให้เกิดความมั่นคงด้านสาธารณูปโภค ที่มีนัยสำคัญต่อการเจริญเติบโตของประเทศเมียนมา มั่นใจว่าโรงไฟฟ้ามินบู สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างดีให้กับ SCN และผู้ถือหุ้นทุกราย รวมถึงผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหม่ๆ ด้วย
โดยผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 2/2563 ที่ผ่านมา ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เป็นผลมาจากสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับนโยบายของภาครัฐที่สนับสนุนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงประเภทดีเซล อีกทั้งยังปล่อยให้ราคา NGV ลอยตัว ทำให้ปริมาณการใช้ NGV ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ตอกย้ำให้ธุรกิจสถานีบริการก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์และธุุรกิจขนส่ง NGV ไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้
นอกจากนี้สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ยังส่งผลให้ลูกค้าในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมของบริษัทฯ ชะลอการผลิตลง ทำให้ปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติอัด หรือ iCNG ลดลงตามไปด้วย ซึ่งส่งผลให้เป้ารายได้ที่วางไว้ลดลงเหลือเพียง 150 ล้านบาท จาก 404 ล้านบาทสำหรับครึ่งปีแรก คิดเป็น 37% ด้านธุรกิจยานยนต์ก็ได้รับผลกระทบเกี่ยวเนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 เช่นกัน ทำให้บริษัทฯ ไม่สามารถนำรถมินิบัสที่ผลิตจากประเทศจีนเข้ามาทำการตลาดในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมาได้ เนื่องจากติดปัญหาในด้านการขนส่ง เพราะรถมินิบัสดังกล่าวถูกส่งออกจากมณฑล Huangshi อยู่ใกล้กับเมือง Wuhun จึงทำให้ต้องชะลอออกไปก่อน
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้มีการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินงาน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เพื่อลดต้นทุนในส่วนต่าง ๆ ลง ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในส่วนของการขายและการบริหารจัดการ (SG&A) ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งในปลายไตรมาส 2 หลังจากสถานการณ์เริ่มผ่อนคลาย ภาครัฐปลดล๊อคครบทุกเฟส บวกกับโรงงานอุตสาหกรรมเริ่มกลับมาดำเนินการผลิตอีกครั้ง บริษัทคาดว่าจะมีผลช่วยดันให้ดีมานด์การใช้ NGV รวมถึง ธุรกิจ iCNG ของบริษัทฯ พุ่งสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงมีรายได้จากสัญญารับเหมาซ่อมบำรุงรถโดยสารปรับอากาศเชื้อเพลิง NGV 489 คัน ให้กับ องค์การขนส่งมวลชน หรือ ขสมก. ที่ดำเนินงานร่วมกับ บริษัท ช. ทวี จำกัด (มหาชน) ซึ่งสัญญายังเหลืออีก 8 ปี จึงทำให้บริษัทยังคงมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์ COVID-19 แต่ยังสามารถตอบโจทย์ได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลประกอบการจากการขายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่จังหวัดนครปฐมและจังหวัดกาฬสินธุ์ยังทำได้ดีกว่ากว่าที่คาดการณ์ไว้
สำหรับธุรกิจด้านโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบูที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 เนื่องจากรัฐบาลเมียนมาร์จ่ายเงินล่าช้าออกไป จึงทำให้ต้องปรับการรับรู้รายได้ในไตรมาสนี้ลดลง เนื่องจากได้รับรายได้จริงน้อยกว่าที่ประมาณการไว้ตามมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRIC 12 ถึงแม้ว่าในไตรมาสนี้โครงการฯ จะสามารถจ่ายไฟจริงได้เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 105% โดยคาดว่าจะสามารถจ่ายไฟได้กว่า 110-120% จากที่ประมาณการไว้ในไตรมาสต่อไป รวมถึงกลับมารับรู้รายได้ตามปกติ และสร้างรายได้ให้บริษัท อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังเตรียม COD จากโรงไฟฟ้ามินบู กำลังการผลิต 220 MW จากเฟส 2 ซึ่งจะเริ่มสร้างภายในเดือนสิงหาคมและคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2565 ครบทั้ง 4 เฟส
นอกจากนี้ยังมีข่าวดีจากการเริ่ม COD ของโครงการ Solar Rooftop ซึ่งบริษัทเริ่มลงทุนในนามของบริษัท Scan Advance Power (SAP) ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 จำนวน 5 โครงการในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ขนาดกำลังการผลิตกว่า 2.4 MW ทำให้บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากไตรมาสก่อนหน้าสู่ระดับ 3.9 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นความสำเร็จก้าวแรกของบริษัท และพร้อมลุยเดินหน้าหาลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงได้วางแผนเตรียมเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภาคเอกชน (Private PPA) ให้ได้ตามเป้าที่วางไว้ 20 MW ภายในสิ้นปีนี้ โดยปรับจากเป้าเดิมที่ 30 MW เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่แพร่ระบาดอย่างหนักในช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้การเข้าไปทำงานมีความยากลำบาก ทั้งที่ดีมานด์การเติบโตของธุรกิจ Solar Rooftop ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจได้ว่าจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้อย่างแน่นอน จะคาดว่าธุรกิจ Solar Rooftop นี้จะเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนผลกำไรของบริษัทให้เติบโตยั่งยืนตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้ากำลังการผลิตรวมทั้งหมดอยู่ที่ 110 MW ภายในปี 2565 เช่นเดิม
“สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 นี้ จากที่ภาครัฐยังไม่มีนโยบายการสนับสนุน NGV บริษัทฯ จึงได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์โดยนำธุรกิจพลังงานเข้ามาทดแทนและช่วยเพิ่มช่องทางรายได้ให้มีสัดส่วนมากขึ้นโดยเมื่อเดือนมิถุนายน บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) พร้อมทั้งผู้ถือหุ้นรายอื่นในบริษัท กรีน เอิร์ธ พาวเวอร์ ไทยแลนด์ จำกัด (GEP) ได้มีการเพิ่มทุนเพื่อใช้สำหรับดำเนินการก่อสร้าง Phase 2 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนการเพิ่มทุนเพื่อเริ่มดำเนินการก่อสร้างในส่วนของ Phase 3 และ Phase 4 ต่อไป อย่างไรก็ตามสำหรับธุรกิจก๊าซธรรมชาตินั้น บริษัท ได้เตรียมความพร้อมไว้ตลอดสำหรับช่วงใดที่มีโอกาสด้านการลงทุนที่เหมาะสม ก็พร้อมที่จะลุยงานได้อย่างทันทีเนื่องจากเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านก๊าซธรรมชาติอย่างแท้จริง” ดร.ฤทธี กล่าวทิ้งท้าย