IM สื่ออุตสาหกรรม เป็นสื่อสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม มุ่งเน้นนำเสนอข่าวสารด้านบวก ครอบคลุมทุกหมวดหมู่ธุรกิจ ด้วยเจตนารมณ์ที่ต้องการสร้างพื้นที่ให้กลุ่ม SMEs ได้มีที่ยืน ได้มีโอกาสได้ใช้ช่องทางเคียงคู่ไปกับผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อให้อุตสาหกรรมไทยได้เติบโตไปพร้อมๆ กัน อย่างยั่งยืน
บริษัท สื่ออุตสาหกรรม จำกัด | 02 11 585 22 | an6n@yahoo.com
กลุ่มบริษัท น้ำตาลและอ้อยตะวันออกจำกัด (มหาชน) นำโดย คุณหญิงณัฐิกา วัธนเวคิน (ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร) และคณะผู้บริหาร เข้ารับรางวัล ENERGY GLOBE 2022 ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติระดับโลก ที่แสดงให้เห็นว่า “กลุ่มบริษัท น้ำตาลและอ้อยตะวันออกจำกัด (มหาชน) เป็นองค์กรด้านอุตสาหกรรมน้ำตาลที่ประกอบธุรกิจ โดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมอย่างความยั่งยืน” พิธีมอบรางวัลในปี 2022 นี้ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 23 ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย สำหรับประเทศไทย ทำพิธีมอบรางวัล ณ สถานฑูตออสเตรียประจำประเทศไทย
นายกิตติศักดิ์ วัธนเวคิน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท น้ำตาลและอ้อยตะวันออก จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นดำเนินการผลิตน้ำตาลทรายคุณภาพด้วยการใส่ใจในประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการโดยล่าสุด ล่าสุดกลุ่มบริษัทน้ำตาลและอ้อยตะวันออก จำกัด (มหาชน) ได้รับรางวัล ENERGY GLOBE 2022 (The most important Award for Sustainability worldwide – The Green Fully Integrated Energy Business for Sugar Industry) เป็นรางวัลอันทรงเกียรติระดับโลก ที่แสดงให้เห็นว่า กลุ่มบริษัทน้ำตาลและอ้อยตะวันออก จำกัด (มหาชน) เป็นองค์กรด้านอุตสาหกรรมน้ำตาลที่ประกอบธุรกิจ โดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
โดยบริษัทมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมน้ำตาลที่ยาวนานต่อเนื่องมากกว่า 60 ปี ผลิตน้ำตาลดิบเป็นสินค้าหลักของบริษัทซึ่งมีสัดส่วนคิดเป็นประมาณ 54% ซึ่งมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม (Value-added Product) ซึ่งได้แก่ น้ำตาลทรายดิบคุณภาพสูงมาก (Very High Polarization Sugar -- VHP) น้ำตาลทรายขาว (White Sugar) และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ (Refined Sugar) สัดส่วนการขายในประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับการมีลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ปกติราคาน้ำตาลภายในประเทศจะมีราคาที่สูงกว่าราคาน้ำตาลส่งออกและยังมีค่าขนส่งที่ถูกกว่าซึ่งทำให้มีอัตรากำไรที่ดีกว่าอีกด้วย
จากการดำเนินงานมาด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ของบริษัทฯที่เป็นผู้ผลิตน้ำตาลทรายในระดับต้นๆ ของประเทศ ด้วยการนำเครื่องจักรและเทคโนโลยีอันทันสมัย ระบบอัตโนมัติ (Distributed Control System : DCS) มาใช้ในการควบคุมกระบวนการผลิตที่ได้ประสิทธิภาพและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งได้ใส่ใจประสิทธิภาพการผลิตและการใช้พลังงาน การดูแล รักษาสิ่งแวดล้อม (Zero Waste) ซึ่งบริษัทฯ เป็นผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาล ด้วยสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยยึดหลักแนวคิด Fully Integrated System ด้วยการนำผลิตภัณฑ์พลอยได้จากกระบวนการผลิตน้ำตาลทรายทุกส่วนกลับมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดผ่านการประกอบธุรกิจแบบครบวงจร ได้แก่ ธุรกิจผลิตไฟฟ้า เอทานอล ก๊าซชีวภาพ ปุ๋ยอินทรีย์เคมี และให้มีส่วนเหลือทิ้งเป็นศูนย์ หรือ Zero-waste Discharge Systems โดยนำชานอ้อยที่ผ่านกระบวนการหีบอ้อยและก๊าซชีวภาพที่เกิดจากการผลิตเอทานอลมาเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายให้แก่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
เป็นรางวัลอันทรงเกียรติระดับโลก ที่แสดงให้เห็นว่า กลุ่มบริษัทน้ำตาลและอ้อยตะวันออก จำกัด (มหาชน) เป็นองค์กรด้านอุตสาหกรรมน้ำตาลที่ประกอบธุรกิจ โดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
บริษัทนำกากอ้อยที่เป็นของเหลือจากการผลิตน้ำตาลไปผลิตเป็นเอทานอลและไฟฟ้า
โดยการผลิตเอทานอลและไฟฟ้าบริษัทใช้ประโยชน์สูงสุดจากอ้อยและผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตน้ำตาลเพื่อนำไปผลิตเอทานอลและไฟฟ้า มีกำลังการผลิตติดตั้งของโรงไฟฟ้าโดยรวมที่ขนาด 123.6 เมกะวัตต์ โดยบริษัทใช้กากอ้อยที่ได้จากกระบวนการผลิตน้ำตาลและใบอ้อยเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพในการผลิตไฟฟ้า บริษัทจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ 2 แห่งภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับซื้อไฟฟ้าที่ขนาด 40 เมกะวัตต์ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer -- SPP) ในขณะที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) รับซื้อไฟฟ้าที่ขนาด 11 เมกะวัตต์ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กมาก (Very Small Power Producer -- VSPP)
ทั้งนี้พลังงานดังกล่าวผลิตจากกากน้ำตาลที่เกิดจากกระบวนการหีบอ้อยมาผลิตเป็นเอทานอลสำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิง อีกทั้งนำน้ำกากส่าที่มาจากการขั้นตอนการผลิตเอทานอลมาปรับสภาพเพื่อผลิตเป็นก๊าซชีวภาพ และลดต้นทุนด้านเชื้อเพลิง รวมทั้งนำน้ำที่ออกจากการผลิตก๊าซชีวภาพและกากหม้อกรองที่มาจากการผลิตน้ำตาลมาทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์เคมี และวัสดุปรับปรุงดิน เพื่อจำหน่ายให้แก่ชาวไร่อ้อยที่อยู่ภายใต้โครงการส่งเสริมของบริษัทฯ ทำให้ บมจ.น้ำตาลและอ้อยตะวันออก สามารถใช้ประโยชน์สูงสุดจากการกระบวนการผลิตอ้อยและน้ำตาลทราย
บริษัท น้ำตาลและอ้อยตะวันออก จำกัด(มหาชน) หรือ ESC ซึ่งเดิมดำเนินธุรกิจอยู่ภายใต้บริษัท น้ำตาลตะวันออก จำกัด (ES) ดำเนินกิจการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายเป็นหลัก และดำเนินธุรกิจที่นำผลิตภัณฑ์พลอยได้ จากการผลิตน้ำตาลทราย มาทำให้เป็นประโยชน์ อาทิเช่น ธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล ธุรกิจผลิตและจำหน่ายก๊าซชีวภาพ และธุรกิจผลิตและจำหน่ายปุ๋ย โดยเริ่มดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาลทราย ที่จังหวัดระยอง ตั้งแต่ปี 2502 เริ่มต้นที่กำลังการผลิต 500 ตันอ้อยต่อวัน จากนั้นได้ย้ายฐานการผลิตมาที่สระแก้ว ตั้งแต่ปีการผลิต 2536/37
ปัจจุบันมีกำลังการผลิตสูงที่สุดของโรงงานน้ำตาลในภาคตะวันออก และมีบริษัทในเครือที่เป็นธุรกิจต่อเนื่องอีกหลายบริษัท ซึ่งได้สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และความเจริญต่อชุมชน อำเภอ จังหวัด และประเทศชาติอย่างมุ่งมั่นตั้งใจการผลิตและการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ทั้งภาคเกษตรและภาคการผลิต อันเป็นผลให้บริษัทฯ ได้รับรางวัลโรงงานน้ำตาลดีเด่นหลายปีติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง สามารถนำองค์กรเข้าสู่ระบบบริหารคุณภาพมาตรฐานสากล นำเกษตรกรชาวไร่อ้อยเข้าสู่ระบบมาตรฐานสากลเป็นเกษตรกรกลุ่มแรกของโลก สร้างอุตสาหกรรมพลังงานและอื่นๆ ต่อเนื่องจากการผลิตน้ำตาลอย่างครบวงจร และยังมีการส่งเสริมปลูกอ้อยแบบ Smart Farm อีกด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังมีพื้นที่ สีเขียวมากกว่า 120 ไร่ และมีการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ เพื่อส่งเสริมชาวไร่อ้อยตลอดฤดูกาลผลิต ตามหลักวิชาการ โดยเฉพาะการบำบัดน้ำ แบบ Acivated Sludge อีกด้วย
บริษัทได้ติดตั้งระบบการบำบัดน้ำ แบบ Acivated Sludge เพื่อการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและเพื่อการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ ESC ยังมุ่งเน้นในส่วนของผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง ได้แก่ น้ำตาลทรายดิบคุณภาพสูง (Very High Polarization Sugar - VHP) และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ (Refined Sugar) นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นหนึ่งในโรงงานน้ำตาลเพียง 8 แห่งที่ได้รับใบรับรองมาตรฐาน Bonsucro อีกด้วย ทั้งนี้ น้ำตาลที่มีคุณภาพสูงช่วยทำให้บริษัทได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้นอีกทั้งยังช่วยดึงดูดลูกค้าเพิ่มมากขึ้น บริษัทเป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ส่วนโรงงานผลิตน้ำตาลอื่นๆ ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี เนื่องจากบริษัทเป็นผู้ผลิตเพียงรายเดียวในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว บริษัทจึงไม่จำเป็นต้องแข่งขันกับผู้ผลิตรายอื่นเพื่อให้ได้วัตถุดิบอ้อยที่เพียงพอเพื่อป้อนโรงงาน เพราะมีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับเกษตรกรชาวไร่อ้อย ด้วยการให้การสนับสนุนชาวไร่อ้อยอย่างครบวงจรทั้งด้วยการให้เงินสดล่วงหน้าและสนับสนุนปุ๋ย รวมไปถึงการพัฒนาวิธีปลูกอ้อยที่มีประสิทธิภาพ การใช้ระบบชลประทานที่ก้าวหน้า ตลอดจนการสนับสนุนพันธุ์อ้อยและเครื่องมือในการเก็บเกี่ยวอีกด้วย
ESC มุ่งการปรับระบบการผลิตเพื่อดูแลและปกป้องสิ่งแวดล้อมด้วยระบบการผลิตที่ปราศจากของเสีย (Zero Discharge)
โดยบริษัทฯได้ส่งเสริมการผลิตอ้อยคุณภาพสูง เพื่อผลิตน้ำตาลที่มีคุณภาพคงความเป็นมาตรฐานสากล พัฒนาธุรกิจพลังงานและอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มมูลค่าให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยพัฒนาโรงงานให้มีนวัตกรรมพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง มีระบบการบริหารจัดการที่ทันสมัย มีธรรมาภิบาล ดูแลและปกป้องสิ่งแวดล้อมด้วยระบบการผลิตที่ปราศจากของเสีย (Zero Discharge) พัฒนาบุคคลากรให้มีความรู้ ความสามารถ พร้อมดูแลผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสีย ในทุกระดับอย่างสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชาวไร่อ้อย ชุมชนท้องถิ่น และบุคลากรของบริษัท เพื่อให้เติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน
บริษัท น้ำตาลและอ้อยตะวันออก จำกัด (มหาชน) (วังสมบูรณ์) ได้ให้การต้อนรับ นายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว เป็นประธานการเข้าเยี่ยมชมการดำเนินงานและให้คำปรึกษาแก่สถานประกอบการอุตสาหกรรมแบบบูรณาการ โดยมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม โดยทางภาครัฐได้เน้นในเรื่องของความปลอดภัยในการทำงานและการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งการให้คำปรึกษาและลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมระบบการทำงาน
ทั้งนี้ ในเรื่องการดูแลสิ่งแวดล้อมและการเป็นส่วนร่วมในการปฏิรูปสังคม บริษัทได้ดำเนินกืจกรรมมาต่อเนื่องโดยตลอด ให้สมกับการได้รับรางวัลอุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 4 (Green Industry: GI4) โดยเป็นสถานประกอบการที่ได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 4 (วัฒนธรรมสีเขียว : Green Culture คือ ทุกคนในองค์กรให้ความร่วมมือร่วมใจดำเนินงานอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในทุกด้านของการประกอบการ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร)
คุณหญิงณัฐิกา ได้รับการคัดเลือกเป็นสตรีดีเด่น 2566 รับรางวัล 3 ปีซ้อน ชี้เรื่อง ‘ผู้หญิง’ สังคมไทยเราเปิดกว้างให้สตรีและทุกเพศสภาพค่อนข้างมาก แต่ต้องได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
ในโอกาสเดือนนี้คือ "Pride Month" เดือนแห่งการรับรู้ถึงการเท่าเทียม และในสังคมยังมีปัญหาและการต่อสู้เรียกร้องให้เกิดการเท่าเทียมกันในตำแหน่งหน้าที่การงานของผู้หญิง ในเรื่องนี้ “คุณหญิงณัฐิกา วัฒนเวคิน อังอุบลกุล” สตรีไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลเกียรติยศในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์ต่อสตรีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับการคัดเลือกเป็นสตรีดีเด่น 3 ปีซ้อน ในงาน “วันสตรีสากล ประจำปี 2566” ณ ห้องประชุมชั้น 2 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ให้ความเห็นต่อการพัฒนาสตรีในประเทศไทยว่า
ในฐานะที่เป็นผู้หญิงถูกปลูกฝังจากครอบครัวมาตลอดว่าจะต้องทำงานเพื่อสังคม ซึ่งการทำงานกับสิ่งที่ใกล้ตัวเราที่สุดก็คือผู้หญิง เด็กและครอบครัว เป็นส่วนที่ได้ดำเนินการมาโดยตลอด
“งานจะเกิดผลสำเร็จได้ ต้องได้รับการสนับสนุนและได้รับโอกาสจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะสุภาพบุรุษด้วย ซึ่งปัจจุบันเราไม่พูดกันถึงเรื่องของเพศ แต่ทำอย่างไรที่เราจะส่งเสริมให้บุคคลนั้นมีศักยภาพ มีโอกาสที่จะได้ทำงานเพื่อตนเอง เพื่อประเทศชาติ เพื่อสังคมส่วนรวม และเพื่อโลกด้วย ถ้ามีโอกาสเติบโตและก้าวหน้าในการทำงานออกสู่สากลก็จะเป็นสิ่งที่ดีที่เราจะได้เผยแพร่ชื่อเสียงสตรีไทยของเราด้วย”
เมื่อถามถึงมุมมองถึงศักยภาพและความเท่าเทียมของสตรีไทย คุณหญิงณัฐิกา กล่าวว่า สังคมไทยเราเปิดกว้างให้สตรีและทุกเพศสภาพค่อนข้างมากหากเทียบกับประเทศอื่นๆ การพัฒนาความก้าวหน้า การเติบโต การให้โอกาส และความเท่าเทียม คิดว่าประเทศไทยอยู่อันดับต้นๆ ของโลก เป็นสิ่งน่าภาคภูมิใจ
“อย่างไรก็ตามยังมีความจำเป็นที่เราจะต้องช่วยกันผลักดันสนับสนุนและให้โอกาสอย่างต่อเนื่อง เพราะการที่เราจะดึงความสามารถของแต่ละบุคคลออกมาช่วยกันทำงานให้กับทุกภาคส่วนของสังคมเป็นประโยชน์และเป็นความชาญฉลาดด้วยถ้าเราสามารถดึงความสามารถของทุกบุคคลออกมาใช้ประโยชน์ให้กับสังคมส่วนรวมและประเทศชาติ”
คุณหญิงณัฐิกา กล่าวด้วยว่า สิ่งที่อยากจะฝากคือ อยากให้สตรีให้กำลังใจกับตัวเองก่อน และกล้าที่จะออกมาแสดงความสามารถ ถ้าเราได้รับโอกาสแล้วก็ไม่ควรจะปล่อยโอกาสนั้นผ่านไป และก็ส่งต่อโอกาสเหล่านั้นให้กับรุ่นต่อๆ ไปด้วย ช่วยกันสร้างอนาคตของชาติ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด