Print this page

“อภิรดี” เผยไทย-สหรัฐก้าวข้ามปัญหาขาดดุลการค้า พร้อมจับมือเป็นพันธมิตรเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างกัน

นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การเดินทางเยือนกรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกาของนายกรัฐมนตรี (พลเอกประยุทธ์ จันทน์โอชา) ตามคำเชิญของนายโดนัลล์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 2-4 ตุลาคม 2560 ประสบผลสำเร็จด้วยดี 

โดยเฉพาะการหารือด้านการค้าและการลงทุน ทำให้ผู้นำทั้งสองฝ่ายมีโอกาสหารือกันอย่างใกล้ชิด เข้าใจกันมากยิ่งขึ้น และพร้อมที่จะร่วมมือเพื่อสร้างผลประโยชน์ร่วมกัน โดยได้ก้าวข้ามปัญหาการขาดดุลการค้า เน้นการจับมือเป็นพันธมิตรเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างกัน

ในการพบหารือครั้งนี้ ผู้นำทั้งสองเห็นพ้องกันว่า นโยบายอเมริกันมาก่อน หรือ America First และนโยบายไทยแลนด์ 4.0 สามารถเกื้อกูลและส่งเสริมกันได้ โดยสินค้าที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าเพื่อไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตต่อในห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ของอุตสาหกรรมสหรัฐฯ ในขณะที่ไทยก็สนใจนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีคุณภาพสูงจากสหรัฐฯ เพื่อนำมาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มทางการค้า ซึ่งเป็นการเสริมผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน และสามารถนำไปสู่การขยายมูลค่าการค้าระหว่างกันในอนาคต โดยในปี 2559การค้าสองประเทศมีมูลค่า 36.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยไทยส่งออกไปสหรัฐฯ 24.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และนำเข้าจากสหรัฐฯ 12 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

นอกจากความร่วมมือทางการค้า ยังมีประเด็นเรื่องการลงทุน ซึ่งปัจจุบันนักธุรกิจไทยมีการลงทุนในสหรัฐฯ เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ โดยได้ลงทุนในสหรัฐฯ เป็นสาขาการผลิตอุตสาหกรรมในสาขาต่างๆ อาทิ อาหาร พลังงาน และยานยนต์และชิ้นส่วน เป็นต้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 5.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ก่อให้เกิดการจ้างงานในสหรัฐฯ กว่า 7-8 หมื่นตำแหน่ง ในปี 2559 และมีแผนที่จะลงทุนเพิ่มอีก 8.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ สร้างงานเพิ่มอีกกว่า 1 หมื่นตำแหน่ง จึงได้ขอให้สหรัฐฯ ช่วยดูแลและอำนวยความสะดวกการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ ด้วย โดยเฉพาะไทยและสหรัฐฯ มีสนธิสัญญาไมตรีและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ตั้งแต่ปี 2509 ที่ให้สิทธินักลงทุนของทั้งสองฝ่ายเยี่ยงคนชาติ นอกจากนั้น ยังได้เชิญชวนให้ นักลงทุนสหรัฐฯ พิจารณาการลงทุนในระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก รวมทั้งการพัฒนาการศึกษาในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการลงทุนที่ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน สำหรับประเด็นการค้าที่ยังเป็นอุปสรรคได้มอบหมายระดับเจ้าหน้าที่หารือกันต่อไป โดยไม่ได้ลงรายละเอียดในการพบกันครั้งนี้

ในการนี้ ไทยได้ขอบคุณสหรัฐฯ ที่ได้เปิดทบทวนการจัดสถานะการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทยนอกรอบ (Out of cycle review : OCR) ซึ่งไทยจะมุ่งมั่นปฏิรูประบบทรัพย์สินทางปัญญาและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในไทยอย่างเข้มแข็งจริงจังต่อไป โดยหวังว่าผลการทบทวนจะนำไปสู่การถอดไทยจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามองพิเศษ (PWL) โดยเร็ว รวมทั้งได้ขอให้สหรัฐฯ สนับสนุนการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปสหรัฐฯ เช่น การลดความเข้มข้นของระดับการฉายรังสีที่สหรัฐฯ กำหนดในผลไม้ไทย เพื่อไม่ให้กระทบคุณภาพและผิวของผลไม้ที่ไทยส่งไปสหรัฐฯ เช่น มะม่วง ตลอดจนเร่งออกใบอนุญาตด้านสุขอนามัยให้สินค้าส้มโอของไทย ซึ่งได้ยื่นคำขอไว้ตั้งแต่ปี 2558 โดยขอให้สหรัฐฯ ออกประกาศใน Federal Register โดยเร็ว

ในการเดินทางเยือนสหรัฐฯ ครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้นำคณะนักธุรกิจชั้นนำของไทยเดินทางมาหารือกับนักธุรกิจสหรัฐฯ ด้วย โดยเฉพาะนักธุรกิจไทยที่ลงทุนในสหรัฐฯ เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร พลังงาน ยานยนต์และชิ้นส่วน เป็นต้น ซึ่งผลการหารือ หอการค้าไทยและหอการค้าสหรัฐฯ ได้ตกลงที่จะจัดทำ MOU ระหว่างกัน โดยมีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนและคัดเลือกสาขาธุรกิจที่จะสามารถร่วมมือกันได้ เช่น สาขาพลังงาน การค้าบริการ นวัตกรรมและ IT การศึกษา การแพทย์และสุขภาพ และความมั่นคงทางอาหาร เป็นต้น รวมทั้งได้ตกลงที่จะให้ผู้บริหารระดับสูงของหอการค้าไทยและหอการค้าสหรัฐฯ พบหารือกันเป็นประจำทุกปี โดยหอการค้าไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมหารือครั้งแรกในปี 2561 ถือเป็นโอกาสของการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 185 ปีของทั้งสองประเทศด้วย

นอกจากนี้ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (PTTGC) ยังได้ลงนาม MOU กับหน่วยงานด้านการจ้างงานของมลรัฐโอไฮโอ (JobsOhio) เรื่องความร่วมมือในการศึกษาและจัดทำโครงการพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนในพื้นที่เขตเบลมอนต์ (Belmont County) ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานปิโตรเคมี บริษัทเอสซีจี (SCG) ได้ลงนาม MOU และคำสั่งซื้อถ่านหินกับ Smoky Mountain Coal Corporation ซึ่งเป็นเรื่องที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้ความสำคัญ เนื่องจากมองว่าจะช่วยสร้างงานให้กับชาวอเมริกัน ในขณะเดียวกันการสั่งซื้อดังกล่าวจะเป็นประโยชน์แก่ไทยสำหรับการสั่งซื้อวัตถุดิบถ่านหินที่มีคุณภาพดี มลภาวะน้อย และให้ความร้อนสูง มาต่อยอดใช้ประโยชน์ภายในประเทศ

ทั้งนี้ ในการกล่าวถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีกับสภานักธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (U.S.-ASEAN Business Council) เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2560 นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะผลักดันให้มูลค่าทางการค้าระหว่างสองประเทศเพิ่มเป็น 85 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และได้เชิญชวนนักลงทุนสหรัฐฯ เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยที่เป็นอุตสาหกรรมอนาคตที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสูง โดยไทยได้เตรียมความพร้อมต่างๆ เพื่อดึงดูดและรองรับการลงทุน เช่น การให้สิทธิประโยชน์ของ BOI และเขตเศรษฐกิจพิเศษ การปรับกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการลงทุน เป็นต้น

ปัจจุบันสหรัฐฯ เป็นคู่ค้าอันดับที่ 3 ของไทย รองจากจีนและญี่ปุ่น โดยในปี 2559 การค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ มีมูลค่า 36.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 1 ของไทย มีมูลค่าการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ 24.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่สหรัฐฯ เป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 3 ของไทย มีมูลค่านำเข้าของไทยจากสหรัฐฯ 12 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในด้านการลงทุน ในปี 2559 สหรัฐฯ ลงทุนในไทยมากเป็นอันดับที่ 3 รองจากญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ด้วยมูลค่าการลงทุน 11.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 11.14

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

Rate this item
(0 votes)
Last modified on Wednesday, 19 December 2018 09:04
ทิพนาถ ทนุตระกูลทิพย์

Author : เกาะติดข่าวอเมริกา

Latest from ทิพนาถ ทนุตระกูลทิพย์

Related items

X

ลิขสิทธิ์ของ IM

ห้ามผู้ใดทำซ้ำ คัดลอก ลอกเลียน ดัดแปลง ปลอมแปลง จัดเผยแพร่ เรียกดึงข้อมูล บันทึก ส่งผ่าน หรือกระทำการใดๆ ที่ละเมิดสิทธิและทรัพย์สินทางปัญญาของ IM