ภายใต้นโยบาย “5+2 Industrial Innovation Plan” จากการนำของ น.ส. ไช่ อิงเหวิน ประธานาธิบดีแห่งไต้หวัน (Taiwan ROC)

ปัจจุบัน ผู้ผลิต Machine Tools ในไต้หวันได้ทุ่มเทงบประมาณ และทรัพยากรบุคคลให้กับการวิจัยและพัฒนา Smart Machine รวมถึงตั้งเป้าร่วมมือกับผู้ใช้ในการพัฒนาต่อไป
 
สำหรับผู้ผลิตไต้หวัน กุญแจสู่ยุค Industry 4.0 คือ การรวมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เข้าด้วยกัน
 
FEMCO ผู้ผลิต Machining Center กล่าวแสดงความเห็นว่า

การขายแต่เครื่องจักรให้กับลูกค้าจะกลายเป็นเรื่องตกยุค และได้เริ่มพัฒนา “AVM” ระบบตรวจสอบสภาพการทำงานในสายพานการผลิตแบบเรียลไทม์ มานับตั้งแต่ปี 2016

ด้วยปัญหาการขาดแคลนแรงงานและสังคมผู้สูงอายุ เป็นปัญหาใหญ่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้ FEMCO ตัดสินใจพัฒนา AVM ที่มีคุณสมบัติในการรวมรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเครื่องจักร ตั้งค่าพารามิเตอร์เพื่อป้องกันเครื่องจักรทำงานผิดพลาด ลดจำนวนครั้งที่ผู้ใช้ต้องตรวจสอบสภาพเครื่องด้วยตัวเอง เพื่อเสริมประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้น
 
นอกนี้ ทางบริษัทยังมีแผนเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีคลาวด์และ IoT โดยวางแผนใช้ Big Data เป็นขุมข้อมูลสำหรับเรียนรู้ผ่านเซิฟเวอร์ เพื่อให้ระบบพัฒนาตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมเมอร์อีกด้วย
 
อีกรายคือ Fair Friend Group (FFG) ผู้ผลิต Machine Tools รายใหญ่ในไต้หวัน ซึ่งได้กล่าวแสดงความเห็นว่า “การรวมหุ่นยนต์ ซอฟท์แวร์ และอินเตอร์เฟส เข้าด้วยกัน เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเกิดขึ้น” และสิ่งสำคัญสำหรับ Smart Factory คือคุณสมบัติในการใช้งานเครื่องจักรต่างแบรนด์ร่วมกันได้
 
ซึ่งในกรณีของ FFG นั้น ได้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ตนเอง, Siemens, และ KUKA ร่วมกันในการพัฒนาระบบสายการผลิต “FSK” ซึ่งมีคุณสมบัติในการรองรับหุ่นยนต์จากแบรนด์ต่าง ๆ เช่น FANUC ทำให้เป็นระบบการผลิตที่มีความยืดหยุ่นสูงและ รองรับการผลิตจำนวนน้อยอีกด้วย

นอกจากนี้ FFG ยังนำเสนอระบบการควบคุมด้วย Augmented Reality (AR) ที่จะช่วยให้เข้าใจโครงสร้างภายในที่ซับซ้อนได้โดยง่าย จึงเป็นการตอกย้ำว่า การขายแต่เครื่องจักรเป็นเรื่องตกยุคไปแล้วสำหรับผู้ผลิตค่ายไต้หวันนั่นเอง

ที่มา : M Report